ออพติมา โอเมก้า-3 (Optima Omega-3) จากนูสกิน (Nu skin)

ออพติมา โอเมก้า 3 เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากน้ำมันปลา ซึ่งประกอบไปด้วย กรดไขมันอิ่มตัว โอเมก้า 3 (อีพีเอ และดีเอชเอ) วิตามินอี น้ำมันกระเทียมสกัด จัดเป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย

สารบัญ

ออพติมา โอเมก้า-3 ช่วยเรื่องอะไรบ้าง

กรดไขมัน เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกาย ทั้งในเรื่องของการเป็นโครงสร้าง และส่งเสริมการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย กรดไขมัน 2 ชนิดที่จัดว่าเป็นกรดไขมันจำเป็น ต่อสุขภาพของร่างกาย ได้แก่ กรดไขมัน โอเมก้า 6 และ กรดไขมัน โอเมก้า 3 ซึ่งกรดไขมัน 2 ชนิดนี้ ร่างกายจำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น แตกต่างจากกรดไขมันอื่นๆ ที่ร่างกายสร้างได้เอง โดยโอเมก้า 6 จะพบในน้ำมันพืช แต่โอเมก้า 3 จะพบใน “น้ำมันปลา”

การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี เราจะต้องได้รับทั้ง โอเมก้า 6 และ โอเมก้า 3 อย่างสมดุล ซึ่งอาหารทางตะวันตกส่วนมากจะเป็นอาหารประเภททอด เป็นอาหารที่มีไขมันมาก แต่ไม่ใช่ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ และก็มักจะไม่มีปลาเป็นส่วนประกอบ ทำให้ระดับกรดไขมัน โอเมก้า 3 ในร่างกายต่ำ ซึ่งการเพิ่มกรดไขมัน โอเมก้า 3 และลดกรดไขมันโอเมก้า 6 จึงทำให้สัดส่วนของกรดไขมันในร่างกายมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพ

ออพติมา โอเมก้า

ออพติมา โอเมก้า3 เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ให้กรดไขมันโอเมก้า-3 บริสุทธิ์จากปลาทะเล (ซึ่งประกอบไปด้วย กรดไขมันอิ่มตัว ได้แก่ EPA และDHA) ผสมกระเทียมสกัดและวิตามินอี

  • ช่วยในการส่งเสริมสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด
  • ช่วยในการส่งเสริมสุขภาพข้อต่อ
  • วิตามินอีซึ่งมีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ
ออพติมา โอเมก้า-3

ประโยชน์ที่ได้รับจากออพติมาโอเมก้า-3 (Optima Omega-3)

  • น้ำมันปลา มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
  • วิตามิน อี มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • น้ำมันกระเทียมสกัด มีส่วนช่วยลดระดับไขมันในเลือด
  • มีส่วนช่วยในการส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
  • มีส่วนช่วยในการส่งเสริมสุขภาพข้อต่อ
  • ช่วยลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มระดับไขมันตัวดี (HDL)
  • ช่วยลดการอักเสบของทุกเนื้อเยื่อในร่างกาย
  • บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
  • ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนัง และ เยื่อบุตา
  • ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และ หลอดเลือดได้มากกว่า 90%
  • ส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • บำรุงเซลล์สมอง ความจำ และ ระบบประสาท
  • น้ำมันกระเทียมยังมีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อโรค และ การกลายพันธุ์ของเซลล์

วิธีรับประทาน ออพติมา โอเมก้า-3

แนะนำบริโภค วันละ 4 แคปซูล หรือครั้งละ 2 แคปซูล หลังอาหารเช้าและเย็น เพื่อได้ปริมาณ EPA / DHA 1,100 มิลลิกรัม

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ประโยชน์ของออพติมาโอเมก้า-3

ออพติมา โอเมก้า-3 มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงประโยชน์ของ โอเมก้า 3 มากกว่า 100,000 งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของปลาและน้ำมันปลา ที่ช่วยให้เกิดการสมดุลของการอักเสบโดยธรรมชาติของร่างกาย รวมไปถึงส่งเสริมการทำงานของระบบสมองและหัวใจ

นักโภชนาการกล่าวถึงการบริโภคอาจหาแหล่งปลาที่สดได้ไม่ง่ายนัก นอกจากนี้ยังต้องระวังเรื่องสารพิษและโลหะหนักที่อาจปนเปื้อนอยู่ในปลาที่มีขายตามท้องตลาด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ผู้ที่ต้องระวังด้านสุขภาพเป็นพิเศษ เช่น สตรีมีครรภ์ ไม่ควรทานปลาที่มีสารปนเปื้อนเหล่านี้

การบริโภค ออพติมาโอเมก้า-3 (Optima Omega-3) นู สกิน (Nu skin)

โดยสถาบันฟาร์มาเน็กซ์ (Phamarnex) จึงเป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัย ที่จะทำให้คุณได้รับกรดไขมัน โอเมก้า 3 ที่ได้มาจากปลาที่มาจากแหล่งน้ำบริสุทธิ์ ปราศจากสารเคมี โลหะหนักปนเปื้อน ซึ่งผลิตด้วยมาตรฐานการผลิตระดับสูง คือ มาตรฐาน 6S เป็นการการันตีได้ว่า ในแต่ละซอฟท์เจลปราศจากสารพิษ, สิ่งปนเปื้อน และโลหะหนัก นอกจากนี้แล้ว ยังมีส่วนผสมของ วิตามินอี ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงสามารถเพิ่มความคงตัวและคงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้อีกด้วย

ออพติมา โอเมก้า-3

วิธีรับประทานออพติมา โอเมก้า-3

แนะนำบริโภค ครั้งละ 2 ซอฟท์เจล หลังอาหารเช้าและเย็น เพื่อได้ปริมาณ EPA+DHA 1,100 มิลลิกรัม

ข้อควรระวังสำหรับออพติมา โอเมก้า-3

  • ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ปลาทะเลหรือน้ำมันปลา
  • ควรระวังในผู้ที่เลือดแข็งตัวช้า หรือผู้ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือ แอสไพริน
  • เด็กและสตรีมีครรภ์ ไม่ควรรับประทาน
  • สำหรับสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
  • หยุดทานผลิตภัณฑ์นี้ ก่อนผ่าตัด 2 สัปดาห์
  • ควรระวังในผู้แพ้อาหารทะเล
Omega1

ส่วนประกอบสำคัญใน 1 แคปซูล

  • น้ำมันปลา 1,100 มก.
  • วิตามินอี (ดี-แอลฟา-โทโคเฟอรอล) 5.25 มก.
  • กระเทียมสกัด 1 มก.
  • ให้กรดไขมันในกลุ่มของโอเมก้า 3 ได้แก่ EPA และ DHA ใน 1 แคปซูลนั้นจะมีน้ำมันปลา 1,100 มก.

ประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง

  • กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (อีพีเอ) 165 มก.
  • กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (ดีเอชเอ) 110 มก.
  • กรดไขมันอิ่มตัว 253 มก.
สนใจสั่งซื้อ/สอบถามเพิ่มเติม
Line @ : @GSGBGURU (มี @ ด้วยนะคะ)
โทร : 062-696-6596

ทำไมต้องซื้อกับร้านเรา?

รับบัตรเครดิตทุกธนาคาร

ขอบคุณลูกค้าทุกๆท่านที่ให้เราดูแล
ออพติมา โอเมก้า-3

ออพติมา โอเมก้า 3 ช่วยลดไขมันในเลือด และคลอเรสเตอรอล

ประโยชน์ต่อสุขภาพ : เสริมกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า – 3 เพื่อให้ร่างกายได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3อย่างเพียงพอและสมดุล

ผลการศึกษาทางวิทยาศาตร์ของกรดไขมันโอเมก้า-3

health article 151 1

การศึกษาที่ 1 ผลของ Neptune Krill Oil กับการรักษาระดับไขมันในเลือด

วัตถุประสงค์ : เพื่อประเมินผลที่ได้รับจากการรับประทานน้ำมันคริลล์กับไขมันในกระแสเลือด โดยเฉพาะระดับของไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเทอรอล ไขมันแอลดีแอล ไขมันเอชดีแอล

วิธีการศึกษา : ทำการศึกษาเป็นเวลา 3 เดือน ผู้เข้ารับการทดลองมีอายุระหว่าง 25-75 ปี และต้องมีระดับของคอเลสเทอรอลอยู่ในช่วง 194-348 มิลลิกรัม/เดชิลิตร จำนวน 120 คน แบ่งกลุ่มออกทั้งหมด 4 กลุ่ม

  • กลุ่ม A น้ำมันคริลล์ (2-3 กรัม/วัน)
    ดัชนีมวลกาย (BMI) <30 ได้รับน้ำมันคริลล์ 2 กรัม/วัน
    ดัชนีมวลกาย (BMI) >30 ได้รับน้ำมันคริลล์ 3 กรัม/วัน
  • กลุ่ม B น้ำมันคริลล์ (1-1.5 กรัม/วัน)
    ดัชนีมวลกาย (BMI) <30 ได้รับน้ำมันคริลล์ 1 กรัม/วัน
    ดัชนีมวลกาย (BMI) >30 ได้รับน้ำมันคริลล์ 1.5 กรัม/วัน
  • กลุ่ม C น้ำมันปลา (3:2)
    ซึ่งประกอบด้วยอีพีเอจำนวน 180 มิลลิกรัม และดีเอชเอ 120 มิลลิกรัม/กรัม จำนวน 3 กรัม/วัน
  • กลุ่ม D ยาหลอก (3 กรัม/วัน)

 

สรุปผลการทดลอง : จากผลการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าการได้รับปริมาณของน้ำมันคริลล์ขนาดตั้งแต่ 1-3 กรัม/วันนั้น จะมีประสิทธิภาพในการควบคุมระดับของไขมันชนิดต่างๆ ในกระแสเลือดได้มากกว่าการรับประทานน้ำมันปลา 3 กรัม แต่เพียงอย่างเดียว และยิ่งไปกว่านั้นการได้รับน้ำมันคริลล์ขนาด 500 มิลลิกรัม/วัน สามารถรักษาระดับของไขมันในกระแสเลือดให้อยู่ในระดับปกติในระยะยาวได้ เนื่องจากน้ำมันคริลล์ประกอบด้วยฟอสโฟลิปิด กรดไขมันโอเมก้า-3 และสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ซึ่งสารประกอบเหล่านั้นสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้

health article 151 2

การศึกษาที่ 2 ผลของกรดไขมันโอเมก้า-3 กับรังสียูวี ที่มีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในมนุษย์

วัตถุประสงค์ : หลายการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่ากรดไขมันโอเมก้า-9 มีความสามารถในการป้องกันการเกิดมะเร็งที่ผิวหนังอันมีสาเหตุมาจากแสงแดด แต่ผลลัพธ์ดังกล่าวยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนักในมนุษย์ ดังนั้น การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดไขมันโอเมก้า-3 และการปกป้องดีเอ็นเอจากแสงยูวี

 

วิธีการศึกษา : เป็นการศึกษาแบบสุ่มและผู้เข้ารับการทดลองไม่รู้ว่ากำลังใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดใดอยู่ ทดลองกับอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี และไม่สูบบุหรี่จำนวน 42 ราย อายุโดยเฉลี่ย 44 ปี (ช่วงอายุ 21-65 ปี) อีกทั้งต้องเป็นผู้ที่ไม่แพ้แสงแดดและไม่เคยอาบแดดมาก่อนเป็นระยะเวลา 6 เดือน ให้รับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 (อีพีเอ) หรือกรดไขมันโอเลอิก วันละ 4 กรัม เป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นตรวจวัดผลลัพธ์จากเซลล์เนื้อเยื่อและการเจาะเลือด

 

การวัดผล :

  1. การทดสอบด้วยรังสี : ใช้แสงจากหลอดไฟฟลูโอเรสเซนท์ที่มีช่วงความยาวคลื่นที่ 270-400 นาโนเมตร เป็นแหล่งของรังสียูวีกับผู้ทดสอบก่อนและหลังการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร การทดสอบจะทำโดยการฉายแสงไปบริเวณสะโพกส่วนบน หลังจากนั้น 24 ชั่วโมง นำเอาเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวไปทำการตรวจวัดหาค่า P53 (ค่าทางชีววิทยาที่แสดงถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหากพบมาก) และค่า MED (ปริมาณของรังสีที่น้อยที่สุดที่ก่อให้เกิดผื่นแดงที่ผิวหนัุง)
  2. การเจาะเลือด : เพื่อทดสอบปริมาณของกรดไขมันโอเมก้า-3 ก่อนและหลังการทดลอง

 

สรุปผลการทดลอง : จากการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 (อีพีเอ) สามารถปกป้องรังสียูวีที่ก่อให้เกิดผื่นแดงบนผิวหนังในมนุษย์ได้ ไม่เพียงแต่อีพีเอจะปกป้องเรื่องของการเผาไหม้จากแสงแดด อีพีเอยังช่วยลดค่า P53 ค่าทางชีววิทยาที่แสดงถึงเซลล์ที่ถูกทำลายและอาจก่อให้เกิดมะเร็งโดยแสงแดดได้

การศึกษาที่ 3 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลา และน้ำมันมะกอกกับผู้ป่วยที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ

วัตถุประสงค์ : การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงผลของการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาและน้ำมันมะกอกว่ามีผลต่ออาการของโรคไขข้ออักเสบอย่างไร

 

วิธีการศึกษา : ทำการทดลองกับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคไขข้ออักเสบ (rheumatoid arthrittis) จำนวน 49 ราย ทำการทดลองเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 24 สัปดาห์ ทำการทดลองแบบสุ่ม โดยแบ่งกลุ่มการทดลองออกเป็น 3 กลุ่ม โดยคำนึงถึงเรื่องอายุ เพศ ความรุนแรงของโรค และยาที่ใช้รักษา โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้

  • กลุ่มที่ 1 : Low Dose จำนวน 20 คน รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีอัตราส่วนของอีพีเอ:ดีเอชเอ เท่ากับ 27:18 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (Low Dose)
  • กลุ่มที่ 2 : High Dose จำนวน 17 คน รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีอัตราส่วนของอีพีเอ:ดีเอชเอ เท่ากับ 54:36 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (High Dose)
  • กลุ่มที่ 3 : จำนวน 12 คน รับประทานน้ำมันมะกอกที่ประกอบด้วยกรดโอเลอิก 6.8 กรัม

วัดผลการทดลองทั้ง 3 กลุ่มในวันเริ่มและทุกๆ 6 สัปดาห์ โดยวัดถึงลักษณะของอาการเวลาเคลื่อนที่ อาการบวมของข้อต่อ ลิวโคไตรอีน บี4* (Leukotriene B4) และอินเตอลิวคิน-1*(Interleukin-1) *ลิวโคไตรอีน บี 4 และอินเตอลิวคิน-1 เป็นสารสำคัญที่เป็นตัวก่อให้เกิดอาการอักเสบ

 

ผลการทดลอง :

  • ในกลุ่ม Low Dose มีลักษระอาการดีขึ้นในสัปดาห์ที่ 24
  • ในกลุ่ม High Dose มีลักษณะอาการดีขึ้นในสัปดาห์ที่ 18 และ 24
  • อาการบวมบริเวณข้อลดลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 12 ทั้งในกลุ่ม Low Dose และ High Dose
  • ในกลุ่ม Low Dose ปริมาณของลิวโคไตรอีน บี4 ลดลง 19%
  • ในกลุ่ม High Dose ปริมาณของลิวโคไตรอีน บี4 ลดลง 20%
  • ปริมาณการผลิต อินเตอลิวคิน-1 ลดลง
    – น้ำมันมะกอก ลดลง 38.5%
    – กลุ่ม Low Dose ลดลง 40.6%
    – กลุ่ม High Dose ลดลง 54.7%

 

สรุปผลการทดลอง : จากการทดลองสามารถสรุปได้ว่าในกลุ่มที่รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีอัตราส่วนของ อีพีเอ:ดีเอชเอ เท่ากับ 54:36 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (High Dose) จะมีอาการเจ็บปวดและอาการบวมเนื่องมาจากไขข้ออักเสบน้อยลงตั้งแต่ในสัปดาห์ที่ 12 รวมถึงปริมาณการผลิตสารที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบ ได้แก่ ลิวโคไตรอีน บี4 และอินเตอลิวคิน-1 ก็มีปริมาณน้อยลงด้วย

health article 151 4

การศึกษาที่ 4 การบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโอเมก้า-3 ของหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ และให้นมบุตร กับพัฒนาการความสามารถทางด้านไอคิว (IQ) ของเด็กในช่วงอายุ 4 ปี

จากการศึกษาหลายการศึกษาพบว่า กรดไขมันโอเมก้า-3 มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางด้านสมองของสัตว์เลือดอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนการคลอดและประมาณเดือนแรกของการให้นมบุตร

 

วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบถึงผลของการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดไขมันโอเมก้า-3 และกรดไขมันโอเมก้า-6 ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรกับพัฒนาการทางสมองของเด็ก

 

ลักษณะการศึกษา : เป็นลักษณะการศึกษาแบบสุ่มและผู้เข้ารับการทดลองไม่ทราบว่ารับประทานผลิตภัณฑ์ชนิดใด ผู้เข้าร่วมการศึกษาเป็นหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ โดยผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมต่อเนื่อง ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดบุตรจำนวน 341 คนและเมื่อเด็กกลุ่มนี้อายุ 4 ขวบ จะมีการทดสอบที่เรียกว่า K-ABC (Kaufman Assessment Battery for Children) ซึ่งเป็นกรทดสอบเพื่อวัดลักษณะทางความคิด เชาว์ปัญญา และไหวพริบของเด็กในช่วงอายุ 2.5-12.5 ปี โดยในการทดลองนี้มีเด็กจำนวน 90 รายที่ทำการทดสอบโดย แบ่งหญิงตั้งครรภ์ออกเป็น 2 กลุ่ม และให้รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในช่วง 3 เดือนก่อนการคลอดบุตรคนละชนิดคือ

  • กลุ่มที่ 1 กรดไขมันโอเมก้า-3 : จากปลาคอด (ดีเอชเอ 1,183 มก. และอีพีเอ 803 มก.)
  • กลุ่มที่ 2 กรดไขมันโอเมก้า-6 : จากน้ำมันข้าวโพด (กรดไลโนเลอิก 4,747 มก. และ แอลฟา-ไลโนเลนิก 92 มก.)

 

ผลการศึกษา : การทดสอบในเด็กอายุ 4 ขวบ ที่เกิดจากมารดาที่รับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 (N=48) ในช่วงของการตั้งครรภ์และให้นมบุตร จะมีคะแนนในการทดสอบ K-ABC ที่สูงกว่าในมารดาที่รับประทานกรดไขมันโอเมก้า-6 (N=36) ดังแสดงในกราฟที่ 1

สรุปผลการทดลอง : มารดาที่รับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 ในช่วงการตั้งครรภ์และให้นมบุตร น่าจะทำให้พัฒนาการทางด้านสมองและจิตใจดีกว่าเด็กอื่นๆ ที่ไม่ได้รับประทาน

สรุป ออพติมา โอเมก้า-3

ออพติมา โอเมก้า-3 ตัวช่วยเรื่องระบบสมอง ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด มีน้ำมันปลา โอเมก้า 3 และสารสกัดจากกระเทียม วิตามินE ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ออพติมา โอเมก้า (Optima Omega) เป็นแหล่งสำคัญของกรดไขมันโอเมก้า – 3 ที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ อีพีเอ และดีเอชเอ ที่ได้จากปลาทะเลน้ำลึก 4 ชนิด (ปลาแซลมอน, ปลาซาร์ดีน, ปลาแมคเคอเรล,ปลาแอนโชวี)  ช่วยให้ร่างกายได้รับกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า – 3 อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังประกอบด้วย  กระเทียมสกัดอีกด้วย 

นอกจากนี้หากท่านต้องการน้ำมันปลาและน้ำมันคริลล์ ขอแนะนำ มารีนโอเมก้า ที่ให้กรดไขมันจำเป็นโอเมก้า 3 ที่บริสุทธิ์ ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันที่เป็นปกติ มีผลดีต่อการบำรุงหัวใจและหลอดเลือด สุขภาพข้อต่อ สุขภาพสมองและความจำ และสุขภาพผิว ลดการอักเสบ การเกิดโรคเรื้อรัง สร้างความจำ