ออพติมา โอเมก้า-3 (Optima Omega-3) จากนูสกิน (Nu skin)
ออพติมา โอเมก้า 3 เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากน้ำมันปลา ซึ่งประกอบไปด้วย กรดไขมันอิ่มตัว โอเมก้า 3 (อีพีเอ และดีเอชเอ) วิตามินอี น้ำมันกระเทียมสกัด จัดเป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย
ออพติมา โอเมก้า-3 ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
กรดไขมัน เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกาย ทั้งในเรื่องของการเป็นโครงสร้าง และส่งเสริมการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย กรดไขมัน 2 ชนิดที่จัดว่าเป็นกรดไขมันจำเป็น ต่อสุขภาพของร่างกาย ได้แก่ กรดไขมัน โอเมก้า 6 และ กรดไขมัน โอเมก้า 3 ซึ่งกรดไขมัน 2 ชนิดนี้ ร่างกายจำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น แตกต่างจากกรดไขมันอื่นๆ ที่ร่างกายสร้างได้เอง โดยโอเมก้า 6 จะพบในน้ำมันพืช แต่โอเมก้า 3 จะพบใน “น้ำมันปลา”
การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี เราจะต้องได้รับทั้ง โอเมก้า 6 และ โอเมก้า 3 อย่างสมดุล ซึ่งอาหารทางตะวันตกส่วนมากจะเป็นอาหารประเภททอด เป็นอาหารที่มีไขมันมาก แต่ไม่ใช่ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ และก็มักจะไม่มีปลาเป็นส่วนประกอบ ทำให้ระดับกรดไขมัน โอเมก้า 3 ในร่างกายต่ำ ซึ่งการเพิ่มกรดไขมัน โอเมก้า 3 และลดกรดไขมันโอเมก้า 6 จึงทำให้สัดส่วนของกรดไขมันในร่างกายมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพ
ประโยชน์ที่ได้รับจากออพติมาโอเมก้า-3 (Optima Omega-3)
- น้ำมันปลา มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
- วิตามิน อี มีส่วนช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ
- น้ำมันกระเทียมสกัด มีส่วนช่วยลดระดับไขมันในเลือด
- มีส่วนช่วยในการส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
- มีส่วนช่วยในการส่งเสริมสุขภาพข้อต่อ
- ช่วยลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มระดับไขมันตัวดี (HDL)
- ช่วยลดการอักเสบของทุกเนื้อเยื่อในร่างกาย
- บรรเทาอาการปวดประจำเดือน
- ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนัง และ เยื่อบุตา
- ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และ หลอดเลือดได้มากกว่า 90%
- ส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- บำรุงเซลล์สมอง ความจำ และ ระบบประสาท
- น้ำมันกระเทียมยังมีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อโรค และ การกลายพันธุ์ของเซลล์
วิธีรับประทาน ออพติมา โอเมก้า-3
แนะนำบริโภค วันละ 4 แคปซูล หรือครั้งละ 2 แคปซูล หลังอาหารเช้าและเย็น เพื่อได้ปริมาณ EPA / DHA 1,100 มิลลิกรัม
หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ประโยชน์ของออพติมาโอเมก้า-3
ออพติมา โอเมก้า-3 มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ กล่าวถึงประโยชน์ของ โอเมก้า 3 มากกว่า 100,000 งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของปลาและน้ำมันปลา ที่ช่วยให้เกิดการสมดุลของการอักเสบโดยธรรมชาติของร่างกาย รวมไปถึงส่งเสริมการทำงานของระบบสมองและหัวใจ
นักโภชนาการกล่าวถึงการบริโภคอาจหาแหล่งปลาที่สดได้ไม่ง่ายนัก นอกจากนี้ยังต้องระวังเรื่องสารพิษและโลหะหนักที่อาจปนเปื้อนอยู่ในปลาที่มีขายตามท้องตลาด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ผู้ที่ต้องระวังด้านสุขภาพเป็นพิเศษ เช่น สตรีมีครรภ์ ไม่ควรทานปลาที่มีสารปนเปื้อนเหล่านี้
การบริโภค ออพติมาโอเมก้า-3 (Optima Omega-3) นู สกิน (Nu skin)
โดยสถาบันฟาร์มาเน็กซ์ (Phamarnex) จึงเป็นวิธีที่ง่ายและปลอดภัย ที่จะทำให้คุณได้รับกรดไขมัน โอเมก้า 3 ที่ได้มาจากปลาที่มาจากแหล่งน้ำบริสุทธิ์ ปราศจากสารเคมี โลหะหนักปนเปื้อน ซึ่งผลิตด้วยมาตรฐานการผลิตระดับสูง คือ มาตรฐาน 6S เป็นการการันตีได้ว่า ในแต่ละซอฟท์เจลปราศจากสารพิษ, สิ่งปนเปื้อน และโลหะหนัก นอกจากนี้แล้ว ยังมีส่วนผสมของ วิตามินอี ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงสามารถเพิ่มความคงตัวและคงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ได้อีกด้วย
วิธีรับประทานออพติมา โอเมก้า-3
แนะนำบริโภค ครั้งละ 2 ซอฟท์เจล หลังอาหารเช้าและเย็น เพื่อได้ปริมาณ EPA+DHA 1,100 มิลลิกรัม
ข้อควรระวังสำหรับออพติมา โอเมก้า-3
- ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ปลาทะเลหรือน้ำมันปลา
- ควรระวังในผู้ที่เลือดแข็งตัวช้า หรือผู้ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดหรือ แอสไพริน
- เด็กและสตรีมีครรภ์ ไม่ควรรับประทาน
- สำหรับสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
- หยุดทานผลิตภัณฑ์นี้ ก่อนผ่าตัด 2 สัปดาห์
- ควรระวังในผู้แพ้อาหารทะเล
ส่วนประกอบสำคัญใน 1 แคปซูล
- น้ำมันปลา 1,100 มก.
- วิตามินอี (ดี-แอลฟา-โทโคเฟอรอล) 5.25 มก.
- กระเทียมสกัด 1 มก.
- ให้กรดไขมันในกลุ่มของโอเมก้า 3 ได้แก่ EPA และ DHA ใน 1 แคปซูลนั้นจะมีน้ำมันปลา 1,100 มก.
ประกอบด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง
- กรดไอโคซาเพนทาอีโนอิก (อีพีเอ) 165 มก.
- กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (ดีเอชเอ) 110 มก.
- กรดไขมันอิ่มตัว 253 มก.
ทำไมต้องซื้อกับร้านเรา?
รับบัตรเครดิตทุกธนาคาร
- ราคาถูกที่สุด พร้อมส่วนลด 30% และ ของแถมอีกมากมาย
- ส่งตรงจาก บริษัท นูสกิน (Nuskin) ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่า สินค้าถึงมือลูกค้าทุกท่าน 100% และ ไม่มีสินค้ามือสอง หรือ ค้างสต็อก
- พร้อมสมัครสมาชิกให้ลูกค้าทุกท่าน ฟรีตลอดชีพ !!!
- ลูกค้าทุกท่านจะได้รับการดูแล และ ได้รับคำปรึกษาที่ดี หลังการขายจากเราตลอดไปค่ะ
- ลูกค้า กทม.และปริมณฑล ยินดีนัดเทส ได้ก่อนการตัดสินใจค่ะ
- ลูกค้า กทมและปริมณฑล หนู ยินดีนัดจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าด้วยตัวเอง พร้อมสอนวิธีใช้งานและเทคนิคต่างๆอย่างถูกวิธี อีกด้วยค่ะ
ขอบคุณลูกค้าทุกๆท่านที่ให้เราดูแล
ออพติมา โอเมก้า 3 ช่วยลดไขมันในเลือด และคลอเรสเตอรอล
ประโยชน์ต่อสุขภาพ : เสริมกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า – 3 เพื่อให้ร่างกายได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3อย่างเพียงพอและสมดุล
ผลการศึกษาทางวิทยาศาตร์ของกรดไขมันโอเมก้า-3
การศึกษาที่ 1 ผลของ Neptune Krill Oil กับการรักษาระดับไขมันในเลือด
วัตถุประสงค์ : เพื่อประเมินผลที่ได้รับจากการรับประทานน้ำมันคริลล์กับไขมันในกระแสเลือด โดยเฉพาะระดับของไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเทอรอล ไขมันแอลดีแอล ไขมันเอชดีแอล
วิธีการศึกษา : ทำการศึกษาเป็นเวลา 3 เดือน ผู้เข้ารับการทดลองมีอายุระหว่าง 25-75 ปี และต้องมีระดับของคอเลสเทอรอลอยู่ในช่วง 194-348 มิลลิกรัม/เดชิลิตร จำนวน 120 คน แบ่งกลุ่มออกทั้งหมด 4 กลุ่ม
- กลุ่ม A น้ำมันคริลล์ (2-3 กรัม/วัน)
ดัชนีมวลกาย (BMI) <30 ได้รับน้ำมันคริลล์ 2 กรัม/วัน
ดัชนีมวลกาย (BMI) >30 ได้รับน้ำมันคริลล์ 3 กรัม/วัน - กลุ่ม B น้ำมันคริลล์ (1-1.5 กรัม/วัน)
ดัชนีมวลกาย (BMI) <30 ได้รับน้ำมันคริลล์ 1 กรัม/วัน
ดัชนีมวลกาย (BMI) >30 ได้รับน้ำมันคริลล์ 1.5 กรัม/วัน - กลุ่ม C น้ำมันปลา (3:2)
ซึ่งประกอบด้วยอีพีเอจำนวน 180 มิลลิกรัม และดีเอชเอ 120 มิลลิกรัม/กรัม จำนวน 3 กรัม/วัน - กลุ่ม D ยาหลอก (3 กรัม/วัน)
สรุปผลการทดลอง : จากผลการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าการได้รับปริมาณของน้ำมันคริลล์ขนาดตั้งแต่ 1-3 กรัม/วันนั้น จะมีประสิทธิภาพในการควบคุมระดับของไขมันชนิดต่างๆ ในกระแสเลือดได้มากกว่าการรับประทานน้ำมันปลา 3 กรัม แต่เพียงอย่างเดียว และยิ่งไปกว่านั้นการได้รับน้ำมันคริลล์ขนาด 500 มิลลิกรัม/วัน สามารถรักษาระดับของไขมันในกระแสเลือดให้อยู่ในระดับปกติในระยะยาวได้ เนื่องจากน้ำมันคริลล์ประกอบด้วยฟอสโฟลิปิด กรดไขมันโอเมก้า-3 และสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ซึ่งสารประกอบเหล่านั้นสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้
การศึกษาที่ 2 ผลของกรดไขมันโอเมก้า-3 กับรังสียูวี ที่มีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในมนุษย์
วัตถุประสงค์ : หลายการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่ากรดไขมันโอเมก้า-9 มีความสามารถในการป้องกันการเกิดมะเร็งที่ผิวหนังอันมีสาเหตุมาจากแสงแดด แต่ผลลัพธ์ดังกล่าวยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนักในมนุษย์ ดังนั้น การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดไขมันโอเมก้า-3 และการปกป้องดีเอ็นเอจากแสงยูวี
วิธีการศึกษา : เป็นการศึกษาแบบสุ่มและผู้เข้ารับการทดลองไม่รู้ว่ากำลังใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดใดอยู่ ทดลองกับอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี และไม่สูบบุหรี่จำนวน 42 ราย อายุโดยเฉลี่ย 44 ปี (ช่วงอายุ 21-65 ปี) อีกทั้งต้องเป็นผู้ที่ไม่แพ้แสงแดดและไม่เคยอาบแดดมาก่อนเป็นระยะเวลา 6 เดือน ให้รับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 (อีพีเอ) หรือกรดไขมันโอเลอิก วันละ 4 กรัม เป็นระยะเวลา 3 เดือน หลังจากนั้นตรวจวัดผลลัพธ์จากเซลล์เนื้อเยื่อและการเจาะเลือด
การวัดผล :
- การทดสอบด้วยรังสี : ใช้แสงจากหลอดไฟฟลูโอเรสเซนท์ที่มีช่วงความยาวคลื่นที่ 270-400 นาโนเมตร เป็นแหล่งของรังสียูวีกับผู้ทดสอบก่อนและหลังการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร การทดสอบจะทำโดยการฉายแสงไปบริเวณสะโพกส่วนบน หลังจากนั้น 24 ชั่วโมง นำเอาเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าวไปทำการตรวจวัดหาค่า P53 (ค่าทางชีววิทยาที่แสดงถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งหากพบมาก) และค่า MED (ปริมาณของรังสีที่น้อยที่สุดที่ก่อให้เกิดผื่นแดงที่ผิวหนัุง)
- การเจาะเลือด : เพื่อทดสอบปริมาณของกรดไขมันโอเมก้า-3 ก่อนและหลังการทดลอง
สรุปผลการทดลอง : จากการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 (อีพีเอ) สามารถปกป้องรังสียูวีที่ก่อให้เกิดผื่นแดงบนผิวหนังในมนุษย์ได้ ไม่เพียงแต่อีพีเอจะปกป้องเรื่องของการเผาไหม้จากแสงแดด อีพีเอยังช่วยลดค่า P53 ค่าทางชีววิทยาที่แสดงถึงเซลล์ที่ถูกทำลายและอาจก่อให้เกิดมะเร็งโดยแสงแดดได้
การศึกษาที่ 3 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลา และน้ำมันมะกอกกับผู้ป่วยที่เป็นโรคไขข้ออักเสบ
วัตถุประสงค์ : การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงผลของการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันปลาและน้ำมันมะกอกว่ามีผลต่ออาการของโรคไขข้ออักเสบอย่างไร
วิธีการศึกษา : ทำการทดลองกับผู้ป่วยที่มีอาการของโรคไขข้ออักเสบ (rheumatoid arthrittis) จำนวน 49 ราย ทำการทดลองเป็นระยะเวลาทั้งสิ้น 24 สัปดาห์ ทำการทดลองแบบสุ่ม โดยแบ่งกลุ่มการทดลองออกเป็น 3 กลุ่ม โดยคำนึงถึงเรื่องอายุ เพศ ความรุนแรงของโรค และยาที่ใช้รักษา โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้
- กลุ่มที่ 1 : Low Dose จำนวน 20 คน รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีอัตราส่วนของอีพีเอ:ดีเอชเอ เท่ากับ 27:18 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (Low Dose)
- กลุ่มที่ 2 : High Dose จำนวน 17 คน รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีอัตราส่วนของอีพีเอ:ดีเอชเอ เท่ากับ 54:36 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (High Dose)
- กลุ่มที่ 3 : จำนวน 12 คน รับประทานน้ำมันมะกอกที่ประกอบด้วยกรดโอเลอิก 6.8 กรัม
วัดผลการทดลองทั้ง 3 กลุ่มในวันเริ่มและทุกๆ 6 สัปดาห์ โดยวัดถึงลักษณะของอาการเวลาเคลื่อนที่ อาการบวมของข้อต่อ ลิวโคไตรอีน บี4* (Leukotriene B4) และอินเตอลิวคิน-1*(Interleukin-1) *ลิวโคไตรอีน บี 4 และอินเตอลิวคิน-1 เป็นสารสำคัญที่เป็นตัวก่อให้เกิดอาการอักเสบ
ผลการทดลอง :
- ในกลุ่ม Low Dose มีลักษระอาการดีขึ้นในสัปดาห์ที่ 24
- ในกลุ่ม High Dose มีลักษณะอาการดีขึ้นในสัปดาห์ที่ 18 และ 24
- อาการบวมบริเวณข้อลดลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 12 ทั้งในกลุ่ม Low Dose และ High Dose
- ในกลุ่ม Low Dose ปริมาณของลิวโคไตรอีน บี4 ลดลง 19%
- ในกลุ่ม High Dose ปริมาณของลิวโคไตรอีน บี4 ลดลง 20%
- ปริมาณการผลิต อินเตอลิวคิน-1 ลดลง
– น้ำมันมะกอก ลดลง 38.5%
– กลุ่ม Low Dose ลดลง 40.6%
– กลุ่ม High Dose ลดลง 54.7%
สรุปผลการทดลอง : จากการทดลองสามารถสรุปได้ว่าในกลุ่มที่รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่มีอัตราส่วนของ อีพีเอ:ดีเอชเอ เท่ากับ 54:36 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (High Dose) จะมีอาการเจ็บปวดและอาการบวมเนื่องมาจากไขข้ออักเสบน้อยลงตั้งแต่ในสัปดาห์ที่ 12 รวมถึงปริมาณการผลิตสารที่ก่อให้เกิดอาการอักเสบ ได้แก่ ลิวโคไตรอีน บี4 และอินเตอลิวคิน-1 ก็มีปริมาณน้อยลงด้วย
การศึกษาที่ 4 การบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโอเมก้า-3 ของหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ และให้นมบุตร กับพัฒนาการความสามารถทางด้านไอคิว (IQ) ของเด็กในช่วงอายุ 4 ปี
จากการศึกษาหลายการศึกษาพบว่า กรดไขมันโอเมก้า-3 มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางด้านสมองของสัตว์เลือดอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนการคลอดและประมาณเดือนแรกของการให้นมบุตร
วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบถึงผลของการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกรดไขมันโอเมก้า-3 และกรดไขมันโอเมก้า-6 ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตรกับพัฒนาการทางสมองของเด็ก
ลักษณะการศึกษา : เป็นลักษณะการศึกษาแบบสุ่มและผู้เข้ารับการทดลองไม่ทราบว่ารับประทานผลิตภัณฑ์ชนิดใด ผู้เข้าร่วมการศึกษาเป็นหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ โดยผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมต่อเนื่อง ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดบุตรจำนวน 341 คนและเมื่อเด็กกลุ่มนี้อายุ 4 ขวบ จะมีการทดสอบที่เรียกว่า K-ABC (Kaufman Assessment Battery for Children) ซึ่งเป็นกรทดสอบเพื่อวัดลักษณะทางความคิด เชาว์ปัญญา และไหวพริบของเด็กในช่วงอายุ 2.5-12.5 ปี โดยในการทดลองนี้มีเด็กจำนวน 90 รายที่ทำการทดสอบโดย แบ่งหญิงตั้งครรภ์ออกเป็น 2 กลุ่ม และให้รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในช่วง 3 เดือนก่อนการคลอดบุตรคนละชนิดคือ
- กลุ่มที่ 1 กรดไขมันโอเมก้า-3 : จากปลาคอด (ดีเอชเอ 1,183 มก. และอีพีเอ 803 มก.)
- กลุ่มที่ 2 กรดไขมันโอเมก้า-6 : จากน้ำมันข้าวโพด (กรดไลโนเลอิก 4,747 มก. และ แอลฟา-ไลโนเลนิก 92 มก.)
ผลการศึกษา : การทดสอบในเด็กอายุ 4 ขวบ ที่เกิดจากมารดาที่รับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 (N=48) ในช่วงของการตั้งครรภ์และให้นมบุตร จะมีคะแนนในการทดสอบ K-ABC ที่สูงกว่าในมารดาที่รับประทานกรดไขมันโอเมก้า-6 (N=36) ดังแสดงในกราฟที่ 1
สรุปผลการทดลอง : มารดาที่รับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3 ในช่วงการตั้งครรภ์และให้นมบุตร น่าจะทำให้พัฒนาการทางด้านสมองและจิตใจดีกว่าเด็กอื่นๆ ที่ไม่ได้รับประทาน
สรุป ออพติมา โอเมก้า-3
ออพติมา โอเมก้า-3 ตัวช่วยเรื่องระบบสมอง ส่งเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด มีน้ำมันปลา โอเมก้า 3 และสารสกัดจากกระเทียม วิตามินE ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ออพติมา โอเมก้า (Optima Omega) เป็นแหล่งสำคัญของกรดไขมันโอเมก้า – 3 ที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ อีพีเอ และดีเอชเอ ที่ได้จากปลาทะเลน้ำลึก 4 ชนิด (ปลาแซลมอน, ปลาซาร์ดีน, ปลาแมคเคอเรล,ปลาแอนโชวี) ช่วยให้ร่างกายได้รับกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า – 3 อย่างเพียงพอ นอกจากนี้ยังประกอบด้วย กระเทียมสกัดอีกด้วย
นอกจากนี้หากท่านต้องการน้ำมันปลาและน้ำมันคริลล์ ขอแนะนำ มารีนโอเมก้า ที่ให้กรดไขมันจำเป็นโอเมก้า 3 ที่บริสุทธิ์ ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันที่เป็นปกติ มีผลดีต่อการบำรุงหัวใจและหลอดเลือด สุขภาพข้อต่อ สุขภาพสมองและความจำ และสุขภาพผิว ลดการอักเสบ การเกิดโรคเรื้อรัง สร้างความจำ